เทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย
แหล่งที่มา https://panasonic.net/ecosolutions/lighting/in/solutions/candiprambanan.html |
พรัมบานัน คือ เทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตา ไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร ตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นานตัววัดก็ถูกทอดทิ้ง และถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี พ.ศ.2461(ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมาการบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลง เมื่อปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ในปัจจุบันพรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก และนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47 เมตร ตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเจดีย์ปรัมบานันกล่าวไว้ดังนี้
ตำนานพรัมบานัน (Prambanan)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นปรัมบานัน บนเกาะชวา มีอาณาจักรอินดู ที่มีอำนาจอยู่ 2 แห่งคือ อาณาจักรเปิงกิงและอาณาจักรโบโก อาณาจักรเปิงกิงเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรื่อง และมีความอุดมสมบูรณ์ปกครองโดยกษัตริย์ที่ฉลาดหลักแหลมผู้มีนามว่า ปราบู ดามาร์ โมโย ซึ่งมีโอรสเพียงองค์เดียวนามว่า เจ้าชาย ระเด่น บันดุง บอนโดโวโซ ส่วนอาณาจักรโบโก ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของณาจักรเปิงกิง ปกครองโดยพระเจ้าปราบู โบโก ผู้ยะโสโอหังและโหดเหี้ยมดังยักษ์มารชอบกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหาร พระเจ้าปรา บู โบโก มีราชธิดาผู้มีความงดงามราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์นามว่าเจ้าหญิงโลโร จองกรัง
พระเจ้าปราบู โบโก มีความต้องการที่จะรุกรานและยึดอาณาจักรเปิงกิงไว้ในอำนาจ จึงสมคบคิดกับอำมาตย์คู่ใจผู้โหดเหี้ยมไม่ต่างกันชื่อว่า อำมาตย์กูโปโล ทำการเกณฑ์ชายหนุ่มมาฝึกให้เป็นไพร่พลทหาร และระดมทรัพย์สินของชาวบ้านเพื่อใช้ในการทำสงคราม
เมื่อเตรียมการจนพร้อมสรรพแล้ว จึงยกทัพเข้ารุกรานอาณาจักรเปิงกิง สงครามที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวเมืองเปิงกิง ต้องทนทุกข์ทรมารกับความยากจนและหิวโหย เมื่อพระเจ้าดามาร์ โมโย รับรู้ถึงความลำบากของประชาชน จึงมีรับสั่งให้เจ้าชายระเด่นบันดุงยกทัพเข้าต่อสู้กับพระเจ้าปราบูโบโกด้วยเหตุที่เจ้าชายระเด่นบันดุงเป็นผู้มีฤทธิ์เดช จึงสามารถสังหารพระเจ้าปราบูโบโกลงได้ อำมาตย์กูโปโลเมื่อเห็นกษัตริย์ของตนถูกสังหารจึงถอยทัพกลับเข้าเมือง พร้อมทั้งแจ้งกับเจ้าหญิงโลโรว่า พระราชบิดาของนางได้ถูกสังหารโดยเจ้าชาย ระเด่นบันดุง ทำให้เจ้าหญิงโลโร เสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากมีชัยชนะต่อพระเจ้าปราบูโบโก เจ้าชายระเด่นบันดุง ก็ยกทัพติดตามอำมาตย์กูโปโลไปจนถึงในเมือง เมื่อพบเห็นเจ้าหญิงโลโร ผู้งดงามราวกับนางฟ้า ก็เกิดหลงรักอยากจะรับนางเป็นภรรยา แต่เจ้าหญิงโลโร ไม่ต้องการเนื่องจากเจ้าชายระเด่น บันดุงเป็นผู้ที่สังหารบิดาของตน จึงกำหนดเงื่อนไขขึ้นมาสองข้อ หากเจ้าชายสามารถทำตามเงื่อนไขนางจึงจะยอมแต่งงานด้วย เงื่อนไขข้อแรก คือ ให้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ภายหลังได้ชื่อว่า ซูมูร์ จาลาตุนดา (sumur Jalatunda) เงื่อนไขที่สอง คือ จะต้องสร้างเจดีย์ 1,000 องค์ ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งคืน เจ้าชายระเด่น บันดุงก็รับเงื่อนไขทั้งสองของนาง
เจ้าชายระเด่นบันดุง จึงสั่งการให้สร้างสระน้ำจนเสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเชิญให้เจ้าหญิงโลโร ให้มาตรวจดู เมื่อมาถึงสระน้ำเจ้าหญิงโลโร ก็ออกอุบายให้เจ้าชายลงไปว่ายน้ำให้ดู แล้วแอบสั่งให้อำมาตย์กูโปโลนำก้อนหินมาถม เพื่อฝังร่างเจ้าชายระเด่นบันดุง ไว้ใต้สระน้ำ แต่เจ้าชายระเด่นบันดุง สามารถร่ายคาถาป้องกันตนเอง และหนีออกมาจากสระได้ได้อย่างปลอดภัย แล้วกลับไปหาเจ้าหญิงโลโร ด้วยความโกรธแค้น แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าหญิงก็ ทำให้คลายความโกรธลงเจ้าหญิงโลโร จึงทวงสัญญาข้อที่สองที่ให้เจ้าชายระเด่น บันดุง สร้างเจดีย์ 1,000 องค์ ให้เสร็จภายในคืนเดียว เจ้าชายจึงร่ายมนต์เรียก เหล่าภูติผีปีศาจ ให้มาช่วยสร้างเจดีย์ให้ทันเวลา แต่เจ้าหญิงโลโร ไม่ต้องการแต่งงาน กับเจ้าชายระเด่นบันดุง จึงสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายนำฟางข้าวไปเผาทางทิศตะวันออก เพื่อให้ท้องฟ้ามีสีแดงสว่างเหมือนกับเวลารุ่งเช้า เพื่อทำให้ไก่ขันเหล่าภูติผีปีศาจปีศาจ เมื่อเห็นว่าถึงเวลารุ่งเช้าแล้ว จึงหยุดการทำงานแล้วกลับไปรายงานเจ้าชายระเด่นบันดุงว่า ไม่สามารถสร้างเจดีย์ 1,000 องค์ ให้เสร็จทันเวลาได้ แต่ได้สร้างเสร็จไปแล้ว 999 องค์ ยังขาดแค่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
เจ้าชายระเด่นบันดุง รับรู้ด้วยญาณได้ว่าที่จริงแล้ว ยังไม่ครบกำหนดเวลาหนึ่งคืน แต่เป็นเพราะอุบายของเจ้าหญิงโลโร แต่ก็เรียกให้เจ้าหญิงโลโรมาตรวจนับเจดีย์ทั้งหมด เจ้าหญิงจึงแจ้งว่าเจดีย์ที่สร้างขึ้นไม่ครบตามสัญญาเพราะมีเพียง 999 องค์ ดังนั้นนางจึงไม่ต้องแต่งงานด้วย เจ้าชายระเด่นบันดุง รู้สึกโกรธมากที่เจ้าหญิงโลโร ไม่ยอมรับการขอแต่งงานของพระองค์ แถมยังออกอุบายเพื่อทำร้ายและกลั่นแกล้งต่างๆ เพื่อไม่ให้เจ้าชายทำตามเงื่อนไขได้จึงประกาศวาจาสิทธิ์ว่า
“โลโร จองกรัง เอ๋ย! เจดีย์ที่ขาดอยู่อีก 1 องค์ มันก็คือ ตัวเจ้าเองอย่างไรเล่า”
เมื่อสิ้นคำวาจาสิทธิ์ร่างของเจ้าหญิงโลโร จองกรัง ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นรูปปั้นหิน อีกทั้งบรรดานางกำนัลก็ต้องคำสาปให้เป็นสาวแก่ดูแลเจดีย์ไปจนสิ้นชีวิต
ด้วยเหตุนี้คนในยุดก่อนจึงมีความเชื่อว่า หากใครพาคู่รักมาที่เจดีย์ปรัมบานันแห่งนี้ ความรักของทั้งคู่ก็จะสิ้นสุดลง
พรัมบานัน หรือ จันดีโลโลจงกรัง เป็นวัดในศาสนาฮินดูที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ในศิลปะชวาภาคกลางตอนปลาย สร้างขึ้นในราชวงศ์สัญชัย ซึ่งนับถือศาสนาฮินดูในราวพุทธศตวรรษที่ 15 เทวาลัยประธานนั้น ประกอบด้วยเทวาลัยจำนวน 8 หลัง สร้างขึ้นอุทิศให้กับตรีมูรติ โดยเทวาลัย 8 หลัง เทวาลัยประธานจำนวนสามหลัง สร้างอุทิศให้กับตรีมูรติ อันได้แก่ เทวาลัยหลังกลางอุทิศให้กับพระศิวะ เทวาลัยหลังทิศเหนืออุทิศให้กับพระวิษณุ และเทวาลัยหลังทิศใต้อุทิศให้กับพระพรหม ส่วนเทวาลัยด้านหน้าอีกสามหลัง นั้นเป็นเทวาลัยที่สำหรับพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม อันได้แก่ โคนนทิ ครุฑและหงส์ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีเทวาลัยอีกสองหลังเล็กขนาบทั้งสองด้าน เทวาลัยหลังเล็กนี้คงสร้างขั้นเพื่ออุทิศให้กับพระสูรยะและพระจันทร์
ไม่มีความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น